บริการรักษาผู้มีบุตรยากด้วย IVF
ทำไมถึงเลือกประเทศไทยเพื่อทำเด็กหลอดแก้ว?
เทคโนโลยีทันสมัย, บริการอบอุ่น เป็นมิตร, บรรยากาศผ่อนคลาย

คลินิกทันสมัย พร้อมรองรับทุกขั้นตอนของการทำ IVF
ทุกคลินิกที่เราคัดสรรมานั้นมีความทันสมัย ออกแบบมาเพื่อเพิ่มทั้งความสะดวกสบายและโอกาสความสำเร็จในการรักษา รองรับทั้งผู้ป่วยชาวไทยและต่างชาติ มั่นใจได้ในประสบการณ์การรักษาที่ราบรื่น พร้อมทีมดูแลที่เข้าใจคุณในทุกแง่มุมของการเดินทางสู่การมีครอบครัว
ความปลอดภัยคือสิ่งที่เราให้ความสำคัญสูงสุด
เรามีความเชี่ยวชาญในการดูแลผู้ป่วยทั้งชาวไทยและต่างชาติที่เข้ารับการรักษา IVF โดยยึดมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล และใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยในทุกขั้นตอน
ทีมแพทย์และบุคลากรของเราพร้อมมอบการดูแลที่ใส่ใจ ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย อบอุ่น และไว้วางใจได้ เพื่อให้คุณมั่นใจว่าสุขภาพของคุณอยู่ในมือของผู้เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง
บรรยากาศผ่อนคลาย เพื่อการรักษาที่ราบรื่น
ทุกคลินิกถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่ที่ผู้เข้ารับบริการสามารถสัมผัสได้ถึงความผ่อนคลาย เพื่อส่งเสริมทั้งสุขภาพกายและใจระหว่างกระบวนการรักษา จึงมั่นใจได้ว่าทุกช่วงเวลาในการรักษาเป็นประสบการณ์ที่ไร้ความเครียด
ค่าบริการ IVF ต่อรอบการรักษา
การเปรียบเทียบราคาทั่วโลก

เส้นทาง IVF กับ Mali
IVF หรือ การปฏิสนธินอกร่างกาย คือกระบวนการทางการแพทย์ที่นำไข่มาผสมกับอสุจิภายนอกร่างกาย เพื่อให้เกิดการปฏิสนธิ จากนั้นจะคัดเลือกตัวอ่อนที่แข็งแรงและย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูกของคุณแม่ เพื่อให้เกิดการฝังตัวและตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ
โดยกระบวนการ IVF หนึ่งรอบมักใช้เวลาประมาณ 4 ถึง 6 สัปดาห์ ครอบคลุมขั้นตอนต่าง ๆ ตั้งแต่การตรวจสุขภาพเบื้องต้น การกระตุ้นไข่ การเก็บไข่ ผสมตัวอ่อน และการย้ายตัวอ่อน ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับขั้นตอนการทำ IVF คลิกที่นี่
การปรึกษาเบื้องต้นและการตรวจวินิจฉัยภาวะมีบุตรยาก
ก่อนเริ่มกระบวนการทำ IVF คู่สมรสที่ต้องการมีบุตรจะได้รับการปรึกษาเบื้องต้นกับทีมแพทย์ เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับประวัติสุขภาพและแผนการรักษา
ในขั้นตอนนี้จะมีการตรวจวินิจฉัยภาวะเจริญพันธุ์ เช่น การตรวจฮอร์โมน การอัลตราซาวด์ การตรวจคุณภาพอสุจิ และการวิเคราะห์ปัจจัยที่อาจเป็นสาเหตุของภาวะมีบุตรยาก ผลการตรวจจะช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการของแต่ละคู่มากที่สุด
การตรวจสุขภาพก่อนเริ่มการรักษา (Pre-cycle Testing)
ก่อนเข้าสู่กระบวนการรักษา IVF แพทย์จะสั่งตรวจทางห้องปฏิบัติการหลายรายการ ซึ่งอาจรวมถึงการตรวจเลือด ฮอร์โมน และการตรวจเพิ่มเติมอื่น ๆ ตามความเหมาะสม
ผลตรวจเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์สามารถออกแบบแผนการใช้ยาและวางแนวทางการรักษาได้อย่างแม่นยำและเหมาะสมกับร่างกายของคุณมากที่สุด
รอบกระตุ้นไข่ (Ovarian Stimulation Cycle)
ในขั้นตอนนี้ ผู้หญิงจะได้รับยาฮอร์โมนกระตุ้นไข่ เพื่อให้รังไข่ผลิตไข่จำนวนมากกว่าปกติในแต่ละรอบ โดยแพทย์จะติดตามผลการตอบสนองต่อยาอย่างใกล้ชิด ด้วยวิธีการอัลตราซาวด์ร่วมกับการตรวจเลือด เพื่อประเมินการเจริญเติบโตและความสมบูรณ์ของไข่ การติดตามนี้จะทำทุก ๆ 2–3 วัน จนกว่าไข่จะโตเต็มที่และพร้อมสำหรับขั้นตอนการเก็บไข่ในลำดับถัดไป
การปฏิสนธิของตัวอ่อน (Embryo Fertilization)
เมื่อไข่เจริญเติบโตเต็มที่ แพทย์จะทำหัตถการเล็ก ๆ ที่เรียกว่า การเก็บไข่ (Egg Retrieval) ซึ่งใช้เวลาประมาณ 30–60 นาที โดยผู้ป่วยจะได้รับยานอนหลับหรือดมยาสลบเพื่อความผ่อนคลายและไม่เจ็บปวด
หลังจากเก็บไข่แล้ว ไข่จะถูกนำไปผสมกับอสุจิในห้องปฏิบัติการเพื่อให้เกิดการปฏิสนธิ จากนั้น ตัวอ่อนที่ได้จะถูกเลี้ยงในห้องแล็บเป็นเวลา 3–5 วัน จนพัฒนาไปถึงระยะที่เหมาะสมสำหรับการย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูก
การย้ายตัวอ่อนเข้าสู่โพรงมดลูก (Embryo Transfer)
หลังจากเลี้ยงตัวอ่อนในห้องปฏิบัติการ ทีมแพทย์จะคัดเลือกตัวอ่อนที่มีคุณภาพดีที่สุดเพื่อย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูก โดยใช้สายสวนขนาดเล็ก (Catheter) ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 30 นาที เป็นหัตถการที่ไม่เจ็บและไม่ต้องใช้ยาสลบ โดยจะทำภายใต้การดูภาพอัลตราซาวด์แบบเรียลไทม์เพื่อความแม่นยำ
ประมาณ 2 สัปดาห์หลังจากย้ายตัวอ่อน แพทย์จะนัดตรวจเลือดเพื่อดูว่าการทำ IVF ในรอบนั้นส่งผลให้เกิดการตั้งครรภ์หรือไม่
แผนการเดินทางเฉพาะบุคคล
แผนการเดินทางสามารถปรับแต่งเพิ่มเติมได้ตามคำแนะนำทางการแพทย์เฉพาะบุคคล สถานการณ์ส่วนตัว และความต้องการของแต่ละคน เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยแต่ละรายจะได้รับการดูแลและการรักษาที่เหมาะสมในระหว่างที่พำนักอยู่ในประเทศไทย
เปรียบเทียบการทำ IVF
ประเทศไทย vs ต่างประเทศ
คลินิกมีบุตรยากในประเทศไทยให้บริการด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยและทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมค่าใช้จ่ายที่ประหยัดกว่าหลายประเทศอย่างชัดเจน
ด้วยอัตราความสำเร็จที่ใกล้เคียงกับคลินิกชั้นนำระดับโลก ประเทศไทยจึงกลายเป็นจุดหมายยอดนิยมของคู่รักจากทั่วโลกที่มองหาการรักษาที่มีคุณภาพ คุ้มค่า และอบอุ่น
ภาพรวมการทำ IVF ในระดับสากล
อัตราความสำเร็จของการทำ IVF ทั่วโลกอาจแตกต่างกันอย่างมาก ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุของผู้หญิง ปัญหาภาวะเจริญพันธุ์เฉพาะบุคคล และคุณภาพของคลินิกหรือห้องปฏิบัติการที่ให้การรักษา
- อัตราความสำเร็จเฉลี่ย: ประมาณ 40-80% (ขึ้นอยู่กับอายุ ปัญหาเฉพาะด้าน และคุณภาพของคลินิก)
- แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยทั่วไปมักมีเวลาจำกัดเนื่องจากภาระงานจำนวนมาก
- การตรวจคัดกรองทางพันธุกรรมที่มีข้อจำกัด
- บริการไม่เป็นมิตรเท่าที่ควร

ประเทศไทย
เมื่อเปรียบเทียบการทำ IVF ในประเทศไทยกับมาตรฐานระดับโลก ทั้งในด้านค่าใช้จ่ายและอัตราความสำเร็จ ประเทศไทยถือว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับผู้ป่วยต่างชาติที่มองหาการรักษาที่มีคุณภาพ ในราคาที่เข้าถึงได้มากกว่า ด้วยการรักษาที่ได้มาตรฐานสากลและการดูแลที่ใส่ใจ ประเทศไทยจึงกลายเป็นจุดหมายยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นหรือขยายครอบครัวผ่านการทำ IVF
- อัตราความสำเร็จโดยเฉลี่ย: 70%
- มีบริการตรวจพันธุกรรม
- คุ้มค่าและประหยัดเมื่อเทียบกับต่างประเทศ
- ทีมแพทย์มากประสบการณ์และเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
- วัฒนธรรมที่เน้นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม
- เจ้าหน้าที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี
- ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวและข้อมูลเป็นความลับ
- เทคโนโลยีทางการแพทย์ทันสมัยระดับโลก
- บรรยากาศสงบ ผ่อนคลาย เหมาะกับการพักฟื้น
- ฟื้นตัวได้อย่างไร้ความเครียด ทั้งกายและใจ
ประสบการณ์จริงจากลูกค้าของเรา
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการทำ IVF
กระบวนการทำ IVF ใช้เวลานานแค่ไหน?
โดยทั่วไป การทำ IVF หนึ่งรอบจะใช้เวลาประมาณ 4 ถึง 6 สัปดาห์ ตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จสิ้น ซึ่งครอบคลุมขั้นตอนต่าง ๆ ได้แก่:
– การปรึกษาเบื้องต้นกับแพทย์
– การตรวจร่างกายและตรวจเลือกล่วงหน้า
– การกระตุ้นไข่ (ประมาณ 10–14 วัน)
– การเก็บไข่
– การปฏิสนธิและการพัฒนาของตัวอ่อน
– การย้ายตัวอ่อนกลับเข้าสู่โพรงมดลูก
ระยะเวลาของแต่ละขั้นตอนอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับแผนการรักษาของแต่ละคลินิกและการตอบสนองของร่างกายผู้เข้ารับการรักษา
คุณอาจจำเป็นต้องลางานในบางช่วงของกระบวนการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) แม้ว่าจะไม่ต้องหยุดงานตลอดทั้งกระบวนการ แต่บางขั้นตอน เช่น การเก็บไข่และการย้ายตัวอ่อน มักต้องพักผ่อนประมาณ 1–2 วัน
นอกจากนี้ อาจต้องใช้เวลาไปพบแพทย์ ฉีดยาฮอร์โมน และพักฟื้นตามการตอบสนองของร่างกาย ผู้ป่วยหลายรายยังสามารถทำงานระหว่างการรักษาได้ แต่การวางแผนให้มีความยืดหยุ่นและลดความเครียดจะช่วยให้กระบวนการเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น ทั้งนี้ เราแนะนำให้ปรึกษาคลินิกเกี่ยวกับตารางนัดล่วงหน้าเพื่อจัดสรรเวลาให้เหมาะสม
อาการข้างเคียงที่พบบ่อยจากการทำ IVF ได้แก่ อาการท้องอืด อารมณ์แปรปรวน ปวดศีรษะ เจ็บเต้านม และปวดเกร็งเล็กน้อย นอกจากนี้ อาจมีปฏิกิริยาต่อการใช้ยากระตุ้นไข่ เช่น ร้อนวูบวาบ หรือระคายเคืองบริเวณที่ฉีดยา
ในบางกรณีที่พบไม่บ่อย อาจเกิดภาวะกระตุ้นรังไข่มากเกินไป (Ovarian Hyperstimulation Syndrome: OHSS) ซึ่งมีลักษณะคือ รังไข่บวมและเจ็บปวด
มีหลายปัจจัยด้านพฤติกรรมและการใช้ชีวิตที่อาจส่งผลต่อภาวะเจริญพันธุ์และผลลัพธ์ของการทำ IVF ได้แก่:
อายุ: ภาวะเจริญพันธุ์จะลดลงตามอายุ โดยเฉพาะหลังอายุ 35 ปี
น้ำหนักและค่าดัชนีมวลกาย (BMI): น้ำหนักที่ต่ำหรือสูงเกินไปอาจรบกวนการทำงานของฮอร์โมนและการตกไข่
การสูบบุหรี่: ส่งผลเสียต่อคุณภาพของไข่และปริมาณไข่สำรอง
แอลกอฮอล์และคาเฟอีน: การบริโภคมากเกินไปอาจลดโอกาสในการตั้งครรภ์
อาหารและโภชนาการ: การรับประทานอาหารที่สมดุล อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ไขมันดี และวิตามิน จะช่วยส่งเสริมสุขภาพระบบสืบพันธุ์
ความเครียด: ความเครียดสะสมอาจรบกวนการหลั่งฮอร์โมนและรอบเดือน
การนอนหลับ: การนอนหลับไม่เพียงพอส่งผลต่อระดับฮอร์โมนและสุขภาพโดยรวม
การออกกำลังกาย: การออกกำลังกายแบบพอดีมีประโยชน์ต่อภาวะเจริญพันธุ์ แต่การออกกำลังกายหนักเกินไปอาจขัดขวางการตกไข่
การปรับเปลี่ยนปัจจัยเหล่านี้ตามความเหมาะสมสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการทำ IVF และส่งเสริมสุขภาพระบบสืบพันธุ์โดยรวมได้
ทำการนัดหมาย
เพื่อเยี่ยมชมคลินิกชั้นนำ
