คำถามที่พบบ่อย
ประเทศไทยมีคลินิกผู้มีบุตรยากที่ได้มาตรฐานระดับโลก ทีมแพทย์มากประสบการณ์ และค่าใช้จ่ายที่สมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับประเทศตะวันตก นอกจากนี้ ยังมีกฎหมายที่สนับสนุนการรักษา พร้อมเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้ผู้ป่วยจากทั่วโลกไว้วางใจเลือกมารักษาที่นี่
การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF)
กระบวนการทำ IVF ใช้เวลานานแค่ไหน?
โดยทั่วไป การทำ IVF หนึ่งรอบจะใช้เวลาประมาณ 4 ถึง 6 สัปดาห์ ตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จสิ้น ซึ่งครอบคลุมขั้นตอนต่าง ๆ ได้แก่:
– การปรึกษาเบื้องต้นกับแพทย์
– การตรวจร่างกายและตรวจเลือกล่วงหน้า
– การกระตุ้นไข่ (ประมาณ 10–14 วัน)
– การเก็บไข่
– การปฏิสนธิและการพัฒนาของตัวอ่อน
– การย้ายตัวอ่อนกลับเข้าสู่โพรงมดลูก
ระยะเวลาของแต่ละขั้นตอนอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับแผนการรักษาของแต่ละคลินิกและการตอบสนองของร่างกายผู้เข้ารับการรักษา
คุณอาจจำเป็นต้องลางานในบางช่วงของกระบวนการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) แม้ว่าจะไม่ต้องหยุดงานตลอดทั้งกระบวนการ แต่บางขั้นตอน เช่น การเก็บไข่และการย้ายตัวอ่อน มักต้องพักผ่อนประมาณ 1–2 วัน
นอกจากนี้ อาจต้องใช้เวลาไปพบแพทย์ ฉีดยาฮอร์โมน และพักฟื้นตามการตอบสนองของร่างกาย ผู้ป่วยหลายรายยังสามารถทำงานระหว่างการรักษาได้ แต่การวางแผนให้มีความยืดหยุ่นและลดความเครียดจะช่วยให้กระบวนการเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น ทั้งนี้ เราแนะนำให้ปรึกษาคลินิกเกี่ยวกับตารางนัดล่วงหน้าเพื่อจัดสรรเวลาให้เหมาะสม
อาการข้างเคียงที่พบบ่อยจากการทำ IVF ได้แก่ อาการท้องอืด อารมณ์แปรปรวน ปวดศีรษะ เจ็บเต้านม และปวดเกร็งเล็กน้อย นอกจากนี้ อาจมีปฏิกิริยาต่อการใช้ยากระตุ้นไข่ เช่น ร้อนวูบวาบ หรือระคายเคืองบริเวณที่ฉีดยา
ในบางกรณีที่พบไม่บ่อย อาจเกิดภาวะกระตุ้นรังไข่มากเกินไป (Ovarian Hyperstimulation Syndrome: OHSS) ซึ่งมีลักษณะคือ รังไข่บวมและเจ็บปวด
มีหลายปัจจัยด้านพฤติกรรมและการใช้ชีวิตที่อาจส่งผลต่อภาวะเจริญพันธุ์และผลลัพธ์ของการทำ IVF ได้แก่:
อายุ: ภาวะเจริญพันธุ์จะลดลงตามอายุ โดยเฉพาะหลังอายุ 35 ปี
น้ำหนักและค่าดัชนีมวลกาย (BMI): น้ำหนักที่ต่ำหรือสูงเกินไปอาจรบกวนการทำงานของฮอร์โมนและการตกไข่
การสูบบุหรี่: ส่งผลเสียต่อคุณภาพของไข่และปริมาณไข่สำรอง
แอลกอฮอล์และคาเฟอีน: การบริโภคมากเกินไปอาจลดโอกาสในการตั้งครรภ์
อาหารและโภชนาการ: การรับประทานอาหารที่สมดุล อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ไขมันดี และวิตามิน จะช่วยส่งเสริมสุขภาพระบบสืบพันธุ์
ความเครียด: ความเครียดสะสมอาจรบกวนการหลั่งฮอร์โมนและรอบเดือน
การนอนหลับ: การนอนหลับไม่เพียงพอส่งผลต่อระดับฮอร์โมนและสุขภาพโดยรวม
การออกกำลังกาย: การออกกำลังกายแบบพอดีมีประโยชน์ต่อภาวะเจริญพันธุ์ แต่การออกกำลังกายหนักเกินไปอาจขัดขวางการตกไข่
การปรับเปลี่ยนปัจจัยเหล่านี้ตามความเหมาะสมสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการทำ IVF และส่งเสริมสุขภาพระบบสืบพันธุ์โดยรวมได้
การแช่แข็งไข่
การตัดสินใจระหว่าง การแช่แข็งไข่ กับ การแช่แข็งตัวอ่อน ขึ้นอยู่กับปัจจัยส่วนบุคคล ความเชื่อทางจริยธรรมหรือศาสนา รวมถึงสถานะความสัมพันธ์ในปัจจุบัน
– การแช่แข็งไข่ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเก็บรักษาความสามารถในการมีบุตรในอนาคต แต่ยังไม่พร้อมจะมีลูกในตอนนี้ หรือยังไม่มีคู่ครองในปัจจุบัน
– การแช่แข็งตัวอ่อน มักเป็นทางเลือกของคู่รักที่วางแผนจะมีบุตรร่วมกันในอนาคต และมีความพร้อมที่จะใช้ตัวอ่อนในการตั้งครรภ์ภายหลัง
การพูดคุยกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสามารถช่วยให้คุณเลือกแนวทางที่เหมาะสมกับสถานการณ์และเป้าหมายของคุณได้ดีที่สุด
จำนวนไข่ที่แนะนำให้แช่แข็งขึ้นอยู่กับอายุและเป้าหมายด้านการเจริญพันธุ์ของแต่ละคน โดยทั่วไป ผู้หญิงที่อายุต่ำกว่า 35 ปีอาจต้องแช่แข็งไข่ประมาณ 10–15 ใบ เพื่อให้มีโอกาสตั้งครรภ์ในอนาคตที่เหมาะสม สำหรับผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 35 ปี แพทย์อาจแนะนำให้แช่แข็งไข่มากขึ้น โดยเฉลี่ย 20–30 ใบ เนื่องจากคุณภาพและปริมาณของไข่จะลดลงตามอายุ การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการเจริญพันธุ์จะช่วยประเมินจำนวนไข่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล
หากคุณกำลังพิจารณาแช่แข็งไข่ นี่คือปัจจัยสำคัญที่ควรคำนึงถึง:
อายุ: ผู้หญิงที่อายุน้อยมักมีไข่ที่มีคุณภาพดีกว่า จึงแนะนำให้แช่แข็งไข่ตั้งแต่อายุน้อยเพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จในอนาคต
ประวัติสุขภาพและการเจริญพันธุ์: ปัญหาสุขภาพหรือภาวะมีบุตรยากในอดีตอาจส่งผลต่อความสำเร็จในการแช่แข็งไข่
ค่าใช้จ่าย: พิจารณาค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวมถึงค่าดำเนินการและค่าฝากไข่รายปี ซึ่งเป็นต้นทุนต่อเนื่อง
แผนในอนาคต: ทบทวนแผนชีวิตของคุณ เช่น ช่วงเวลาที่อยากมีลูก และดูว่าแผนการแช่แข็งไข่สอดคล้องกับเป้าหมายหรือไม่
การเลือกคลินิก: ความเชี่ยวชาญของทีมแพทย์และเทคโนโลยีที่ใช้ในคลินิกมีผลอย่างมากต่ออัตราความสำเร็จของการแช่แข็งไข่
วีซ่าเพื่อการรักษาทางการแพทย์
ขั้นตอนการขอวีซ่ารักษาพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษา IVF ในประเทศไทย:
ติดต่อสถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลไทยใกล้บ้านคุณ:
เพื่อรับข้อมูลเกี่ยวกับวีซ่าและขั้นตอนการยื่นคำขอที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน
เตรียมเอกสารที่จำเป็น:
รวมถึงหนังสือเดินทาง แบบฟอร์มขอวีซ่า รูปถ่ายล่าสุด ใบรับรองแพทย์จากทั้งแพทย์ประจำถิ่นและแพทย์ในประเทศไทยที่แสดงรายละเอียดแผนการรักษา หลักฐานแสดงฐานะทางการเงิน และแผนการเดินทาง
ยื่นคำขอวีซ่า:
ยื่นใบสมัครโดยตรงที่สถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลไทย พร้อมเอกสารประกอบที่ครบถ้วน
ตรวจสอบความครบถ้วนของเอกสาร:
เพื่อหลีกเลี่ยงความล่าช้าในการดำเนินการขอวีซ่า ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าเอกสารทุกฉบับครบถ้วนและถูกต้อง
วีซ่ารักษาพยาบาล (Medical Visa) คือวีซ่าที่ออกแบบมาเพื่อบุคคลที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศเพื่อเข้ารับการรักษาทางการแพทย์ โดยอนุญาตให้อยู่ในประเทศนั้นได้ตามระยะเวลาที่ใช้ในการรักษา และมักสามารถขยายระยะเวลาได้ตามความจำเป็นของขั้นตอนการรักษาและการพักฟื้น
ค่าธรรมเนียมวีซ่ารักษาพยาบาลสำหรับประเทศไทยอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประเทศที่คุณยื่นขอ และประเภทของวีซ่าที่ต้องการ โดยทั่วไป ค่าวีซ่าประเภท Non-Immigrant แบบเข้าประเทศครั้งเดียว (Single-Entry) ซึ่งสามารถใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ จะอยู่ที่ประมาณ 80 ดอลลาร์สหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ค่าธรรมเนียมอาจแตกต่างกันในแต่ละสถานทูตหรือสถานกงสุลไทย แนะนำให้ตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากสถานทูตหรือสถานกงสุลไทยที่ใกล้ที่สุดเพื่อความถูกต้อง
ทั้งนี้ หากต้องการวีซ่าที่สามารถเข้าออกประเทศหลายครั้ง หรือพำนักอยู่ในประเทศไทยเป็นระยะเวลานาน ค่าธรรมเนียมอาจสูงขึ้น
วีซ่ารักษาพยาบาลสำหรับประเทศไทยที่เรียกว่า วีซ่าประเภท Non-Immigrant “O-A” (ระยะยาว) หรือ “MT” (Medical Tourism) โดยทั่วไปจะอนุญาตให้พำนักในประเทศได้ สูงสุด 90 วัน ต่อการเข้าเมืองหนึ่งครั้ง ทั้งนี้ ระยะเวลาอาจเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับแผนการรักษาและสถานการณ์เฉพาะของผู้ป่วย
หากการรักษาต้องใช้เวลานานกว่าที่กำหนด สามารถ ยื่นขอขยายระยะเวลา พำนักได้ โดยต้องได้รับการอนุมัติจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของไทย
สำหรับการรักษาที่ต่อเนื่องยาวนาน อาจมี วีซ่าประเภท Multiple Entry ที่อนุญาตให้เดินทางเข้า–ออกประเทศไทยได้หลายครั้งภายในระยะเวลาวีซ่าที่กำหนด ซึ่งอาจมีอายุได้นานถึง 1 ปี
อย่างไรก็ตาม แนะนำให้ตรวจสอบข้อกำหนดล่าสุดกับสถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลไทยในพื้นที่ของคุณ เนื่องจากระเบียบอาจมีการเปลี่ยนแปลง
ทำไมต้องทำ IVF ในประเทศไทย?
เมื่อเข้ารับการรักษากับคลินิกในเครือ Mali คุณจะได้รับการดูแลทางการแพทย์ที่มีคุณภาพสูง พร้อมเทคโนโลยีทันสมัยและทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์ คลินิกในประเทศไทยมีชื่อเสียงด้านการให้บริการที่อบอุ่นและใส่ใจผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง
บริการสนับสนุนแบบครบวงจรรวมถึง:
– บุคลากรที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้
– การให้คำปรึกษาอย่างละเอียดและเป็นกันเอง
– การช่วยเหลือด้านการเดินทางและที่พักสำหรับผู้ที่มาจากต่างประเทศ
ประเทศไทยมีระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ดีและบริการที่เป็นมิตรกับนักท่องเที่ยว เมืองหลักอย่างกรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภูเก็ตมีระบบขนส่งสาธารณะที่เชื่อมต่อกันอย่างสะดวก เช่น รถไฟฟ้า BTS รถไฟใต้ดิน MRT แท็กซี่ และแอปเรียกรถที่ใช้งานง่าย
สำหรับการเดินทางระหว่างเมือง มีเที่ยวบินภายในประเทศ รถไฟ และรถโดยสารที่ให้บริการอย่างทั่วถึงในราคาที่เหมาะสม
คลินิกรักษาภาวะมีบุตรยากส่วนใหญ่มักตั้งอยู่ในทำเลใจกลางเมือง ใกล้โรงแรม ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ อีกทั้งบุคลากรทางการแพทย์และผู้ให้บริการในพื้นที่ท่องเที่ยวจำนวนมากสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ ทำให้การเดินทางและการเข้ารับบริการเป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้ป่วยต่างชาติ
คลินิกรักษาภาวะมีบุตรยากในประเทศไทยได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในระดับสากล โดยหลายแห่งผ่านการรับรองมาตรฐานจากองค์กรระดับโลก เช่น Joint Commission International (JCI) คลินิกเหล่านี้มีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด พร้อมด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ที่มีประสบการณ์สูง
แม้จะให้บริการด้วยคุณภาพระดับโลก แต่ค่าใช้จ่ายยังคงคุ้มค่ากว่าหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย อีกทั้งยังเน้นการดูแลที่ให้ความสำคัญกับผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลอย่างเข้มงวด เพื่อให้มั่นใจถึงมาตรฐานทางจริยธรรมและอัตราความสำเร็จในการรักษาที่สูง
ทั้งหมดนี้ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการเข้ารับการรักษาภาวะมีบุตรยากจากทั่วโลก
โดยทั่วไป ค่าใช้จ่ายจะอยู่ระหว่างประมาณ 180,000–360,000 บาท โดยราคานี้รวมค่ายา ค่าปรึกษา และค่าหัตถการ อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหากมีการตรวจพันธุกรรม หรือใช้ไข่/อสุจิจากผู้อื่น
มีคำถาม?
ต้องการความช่วยเหลือ?
หากคุณมีข้อสงสัยเรื่องภาวะเจริญพันธุ์ และยังไม่เจอคำตอบที่ต้องการ เราพร้อมช่วยคุณเสมอ
กรุณากรอกแบบฟอร์มเพื่อส่งคำถามถึงเรา เราจะพยายามตอบกลับให้เร็วที่สุด หากมีคำถามจำนวนมากในหัวข้อเดียวกัน เราจะเพิ่มคำตอบลงในหน้าคำถามที่พบบ่อย (FAQ)
ขอบคุณ